วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

Noun แปลว่า "ชื่อ" ได้แก่ คำที่เป็นชื่อของคน, สัตว์, สิ่งของ, สถานที่, คุณสมบัติ หรือคุณค่าต่างๆ แบ่งออกเป็น 8 ชนิดคือ

1.Common noun =สามานยนาม
2.Proper noun =วิสามานยนาม
3.Collective noun =สมุหนาม
4.Material noun=วัตถุนาม
5.Abstract noun =อาการนาม
6.Noun Equivalent=สมมูลย์นาม
7.Compound noun =นามผสม
8.Agent noun =นามแสดงความเป็นผู้กระทำ


◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊


  1. Common noun แปลว่า "สามานยนาม" หมายถึง นามที่เป็นชื่อทั่วไปของคน, สัตว์, สิ่งของ และสถานที่ ไม่ได้ชี้เฉพาะเจาะจงลงไปว่าเป็นคนนั้นคนนี้ เช่น
    The man works in the garden.
    ผู้ชายทำงานอยู่ในสวน
    The bird sings sweetly in the bush.
    นกร้องอย่างไพเราะอยู่ในพุ่มไม้
    The basket is full of oranges.
    กระจาดเต็มไปด้วยส้ม
    There is a new house in a large city.
    มีบ้านใหม่หนึ่งหลังอยู่ในเมืองอันใหญ่โต

    คำว่า man, garden, bird, bush, basket, oranges, house และ city ที่พิมพ์ด้วยตัวดำนั้นเป็น Common Noun เพราะหมายถึง ผู้ชาย สวน นก พุ่มไม้ กระจาด ส้ม บ้าน และเมืองทั่วไปที่ไหนก็ได้ไม่ชี้เฉพาะเจาะจง
  2. Proper Noun แปลว่า "วิสามานยนาม" หมายถึง นามที่เป็นชื่อเฉพาะของคน, สัตว์, สิ่งของ และสถานที่ Proper Noun เวลาเขียนต้องเขียนขึ้นต้นด้วยอักษรตัวใหญ่ (Capital Letter) เสมอ ไม่ว่าจะวางไว้ตรงไหนของประโยคก็ตาม เช่น
    Porntip lives at Paknam but works in Bangkok.
    พรทิพย์อยู่ปากน้ำแต่มาทำงานในกรุงเทพฯ
    Columbus discovered America by himself.
    โคลัมบัสค้นพบอเมริกาด้วยตัวเขาเอง
    London is the capital of England.
    ลอนดอนเป็นเมืองหลวงของประเทศอังกฤษ
    Sony Television is more expensive than Sumsung.
    โทรทัศน์โซนี่แพงกว่าซัมซุง

    คำว่า Porntip, Paknam, Bangkok, Columbus, America, Landon, England, Sony และ Sumsung ที่พิมพ์ด้วยตัวดำนั้นเป็นชื่อเฉพาะของแต่ละอย่างไป จึงจัดเข้าในประเภท Proper noun.
  3. Collective Noun แปลว่า "สมุหนาม" หมายถึง นามที่เป็นชื่อของหมู่คณะ, ฝูง, พวก, กลุ่ม ปกติแล้ว Collective Noun จะใช้ร่วมกับ Common Noun เสมอ ทั้งนี้โดยมี of มาคั่นเพื่อเน้นให้ความเป็นหมู่หรือคณะนั้นชัดยิ่งขึ้น ตามรูปแบบดังนี้
    Collective Noun + of + Common Noun
    ภาษาไทยแปลว่า
      A flockof sheep
      A bunchof flowers
      A herdof cattle
      A heapof stones
      A gangof thieves
      A flockof chickens
      A clusterof stars
      A crowdof people
      A groupof students
      A tribeof citizens
    แกะฝูงหนึ่ง
    ดอกไม้ช่อหนึ่ง
    โคฝูงหนึ่ง
    หินกองหนึ่ง
    ขโมยแก๊งหนึ่ง
    ลูกไก่คอกหนึ่ง
    ดาวกลุ่มหนึ่ง
    คนหมู่หนึ่ง
    นักศึกษากลุ่มหนึ่ง
    พลเมืองเผ่าหนึ่ง เป็นต้น


    อนึ่ง Collective Noun นอกจากจะเป็นคำวลีผสมด้วย of แล้ว บางครั้งเป็นคำคำเดียวก็มี ในเมื่อคำหรือศัพท์นั้นมีความหมายแสดงหมวดหมู่ กลุ่มก้อนในตัวของมันเอง โดยมากจะได้แก่คำต่อไปนี้

      family ครอบครัวarmyกองทัพบก
      teamทีม, คณะ, ชุดclassชั้น, ชนิด
      juryคณะลูกขุนpartyพรรค, คณะ
      fleetกองเรือgovernmentคณะรัฐบาล
      mobหมู่คนregiment กรมทหาร
      committeeคณะกรรมการcabinetคณะรัฐมนตรี
      swarmฝูงแมลงflock ฝูงสัตว์


  4. Material Noun แปลว่า "วัตถุนาม" หมายถึง นามที่เป็นชื่อของวัตถุ ได้แก่ แร่ธาตุ โลหะ ของแข็ง ของเหลว หรือบางครั้งจะเรียกว่า Mass Noun (นามมวลสาร) ก็ได้ เพราะนามจำพวกนี้อยู่เป็นกลุ่มก้อน แสดงความมากน้อยด้วยปริมาณ (quantity) ไม่ใช่ด้วยจำนวน (Number) และนามชนิดนี้ไม่ใช้ Article นำหน้า Material Noun ได้แก่นามต่อไปนี้
      sugarน้ำตาลbreadขนมปัง
      creamครีมflourแป้ง
      riceข้าวgoldทอง
      coalถ่านsoilดิน
      woodไม้clothเสื้อผ้า
      leatherหนังสัตว์copperทองแดง
      waterน้ำoilน้ำมัน
      inkน้ำหมึกairอากาศ
      mudโคลนsmokeควัน
      soapสบู่furnitureเครื่องเรือน


    ตัวอย่างประโยค เช่น
    Copper is less valuable than gold.
    ทองแดงมีค่าน้อยกว่าทองคำ
    Mud is soil mixed with water.
    โคลนก็คือดินผสมกับน้ำ
    Living things cannot remain without air.
    สิ่งมีชีวิตทั้งหลายจะคงอยู่ไม่ได้โดยปราศจากอากาศ

    คำว่า copper, gold, mud, soil, water, air เป็น Material Noun
  5. Abstract Noun แปลว่า "อาการนาม" หมายถึง นามที่เป็นชื่อของสภาวะ สถานะ คุณลักษณะ หรือการกระทำของ คน สัตว์ สิ่งของต่างๆ ดังลักษณะต่อไปนี้
    Death comes to all men.
    ความตายย่อมมาสู่คนเราทุกคน
    It gives me much pleasure to see you here.
    ยินดีมากที่ได้พบคุณที่นี่
    I have no choice in this matter.
    ผมไม่มีทางเลือกในเรื่องนี้
    Prevention is better than cure.
    กันไว้ดีกว่าแก้
    Beauty is wanted by everyone.
    ความสวยเป็นที่ต้องการของทุกๆ คน

    คำว่า death, pleasure, choice, prevention, cure และ beauty ที่กล่าวมานี้เป็น Abstract Noun และให้สังเกตไว้อีกอย่างหนึ่งด้วยว่า Abstract Noun ไม่ใช้ Article นำหน้า เว้นไว้แต่จะนำมากล่าวเป็นลักษณะชี้เฉพาะให้กับบุคคลใดบุคคลหนึ่งจึงจะใช้ The นำหน้าได้ เช่น
    The death of Kitti calls for justice.
    ความตายของกิตติเรียกหาความยุติธรรม
    The braveness of his father is well-known.
    ความกล้าหาญของบิดาของเขาเป็นที่รู้จักกันดี

    ใช้ the นำหน้า death และ braveness ได้ ถึงแม้จะเป็น Abstract Noun ก็ตาม เพราะเป็นการชี้เฉพาะความตายของกิตติและความกล้าหาญของบิดาเขา มิได้หมายถึงความตายหรือความกล้าหาญทั่วไป แม้นัยอื่นก็ให้เทียบเคียงตามนี้
  6. Noun - Equivalent แปลว่า "นามสมมูลย์" หมายถึง คำหรือหมู่คำใด ๆ ซึ่งตามรูปลักษณะแล้วไม่ได้เป็นนามแต่นำมาใช้ทำหน้าที่เช่นเดียวกับนามหรือ ใช้เสมือนหนึ่งเป็นนาม เรียกคำนั้น ว่า Noun - Equivalent ในภาษาอังกฤษคำที่นำมาใช้เป็น Noun - Equivalent มีอยู่ 5 ชนิด ได้แก่
    1. Infinitive ได้แก่ กริยาที่มี to นำหน้า เช่น to go, to come, to walk, to sleep นำมาใช้อย่าง Noun ได้ เช่น
      To sleep is necessary for health.
      การนอนหลับเป็นสิ่งจำเป็นต่อสุขภาพ
      He wants to walk every morning.
      เขาต้องการเดินทุกๆ เช้า

      (to sleep และ to walk โดยรูปแบบแล้วเป็นกริยา แต่นำมาใช้อย่างนาม (Noun – Equivalent) ตัวแรกเป็น Subject ในประโยคตัวหลังเป็น Object ของกริยา wants)
    2. Gerund ได้แก่ กริยาที่เติม ing (Verb – ing) เช่น running, walking, sleeping, eating, reading เป็นต้น นำมาใช้อย่าง Noun ได้เช่น
      Sleeping at midday is necessary for a baby.
      การนอนหลับเวลากลางวันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเด็ก
      Marisa likes reading after dinner.
      มาริสาชอบอ่านหนังสือหลังทานอาหารค่ำ

      (reading นำมาใช้อย่างนาม (Noun - Equivalent) ทำหน้าที่เป็นกรรมกริยา likes ในประโยค)
    3. Adjective (คุณศัพท์) บอกลักษณะ เช่น good (ดี), brave (กล้าหาญ), rich (ร่ำรวย), poor (ยากจน) เป็นต้น นำมาใช้อย่างนาม (Noun - Equivalent) ได้ แต่ต้องใช้โดยมี the นำหน้าทุกครั้ง และให้ถือเป็นพหูพจน์ด้วย เช่น
      The good should be praised.
      คนดีทั้งหลายควรได้รับการยกย่อง

      (good เป็นคำคุณศัพท์แต่นำมาใช้อย่างนาม (Noun - Equivalent) ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค)
      The rich must help the poor.
      คนรวยจะต้องช่วยคนจน

      (rich และ poor เป็นคุณศัพท์ แต่นำมาใช้อย่างนาม rich ทำหน้าที่ประธาน poor ทำหน้าที่เป็นกรรม)
    4. Phrase (วลี) นำมาใช้อย่างนาม (Noun - Equivalent) ได้ เช่น
      Where to go is not known.
      จะไปไหนยังไม่มีใครทราบ

      (Where to go เป็นวลีแต่นำมาใช้อย่างนาม และทำหน้าที่เป็นประธานในประโยคนี้)
      I do not know what to say.
      ผมไม่รู้จะพูดอะไรดี

      (what to say เป็นวลี แต่นำมาใช้อย่างนาม และทำหน้าที่เป็นกรรมของกริยา know)
    5. Clause (อนุประโยค) นำมาใช้อย่างนาม (Noun - Equivalent) ได้ เช่น
      What he is doing now is difficult for us to know.
      เขากำลังทำอะไรอยู่ในขณะนี้ยากสำหรับเราที่จะรู้ได้

      (what he is doing now เป็น clause (คือ Noun clause) แต่นำมาใช้อย่างนาม (Noun - Equivalent) ทำหน้าที่เป็นประธานในประโยค)
      No one can understand why she cried.
      ไม่มีใครเข้าใจได้เลยว่าทำไมเธอจึงร้องไห้

      (why she cried เป็น clause แต่นำมาใช้อย่างนาม (Noun - Equivalent) ทำหน้าที่เป็นกรรมของกริยา understand)
  7. Compound Noun แปลว่า "นามผสม" หมายถึง การนำเอานาม 2 ตัวมาเขียนติดกันเป็นคำเดียว หรือจะเขียนแยกกันอยู่โดยมี Hyphen (-) มาคั่นด้วยหรือไม่มีก็ได้ ก็ถือว่านามนั้นเป็นนามผสม (Compound Noun) ได้ ตามความหมายนี้ ดังนั้น นามผสมจึงมีแหล่งกำเนิดมาในรูปแบบได้หลายอย่างดังต่อไปนี้
    1. โดยการนำเอานาม 2 ตัวมาเขียนติด แล้วกลายเป็นนามผสมขึ้นมา (Compound Noun) ได้ เช่น
      life + boat=lifeboat (เรือช่วยชีวิต)moon + light=moonlight (แสงจันทร์)
      cow + boy=cowboy (โคบาล)mail + box=mailbox (ตู้รับจดหมาย)
      door + man=doorman (คนเฝ้าประตู)country + man=countryman (คนบ้านนอก)
    2. โดยการนำเอา Verb - ing บ้าง นามบ้าง มาเขียนเป็นคำเดียวติดกับนามตัวอื่นโดยมีเครื่องหมาย Hyphen (-) คั่นเอาไว้ แล้วนามนั้นก็จะกลายเป็นนามผสม (Compound Noun) ขึ้นมาทันที เช่น
      court - martialศาลทหารswimmimg - poolสระว่ายน้ำ
      living - roomห้องรับแขกhand - organหีบเพลง
      looking - glassกระจกส่องschool - boyนักเรียนชาย
    3. โดยการนำเอานามตัวหนึ่งไปประกอบหน้านามอีกตัวหนึ่ง ทั้งนี้นามตัวหลังเป็นนามหลักหรือนามยืนส่วนนามตัวหน้าเป็นนามประกอบ (หรือจะเรียกว่าเป็น Adjective ก็ได้) แล้วนามทั้ง 2 ตัวที่มารวมกันนั้น ก็จะกลายเป็นนามผสม (Compound Noun) ทันที และนามผสมตามข้อนี้ต้องเขียนแยกกัน ไม่นิยมใช้ Hyphen (-) มาคั่นด้วย เช่น
      Bangkok Bankธนาคารกรุงเทพmango treeต้นมะม่วง
      Football gameกีฬาฟุตบอลsalt waterน้ำเค็ม
      Picnic basketตะกร้าสำหรับไปเที่ยวfoot pathทางเดินเท้า
      Examination papersกระดาษสอบไล่goverment school โรงเรียนรัฐบาล
  8. Agent Noun แปลว่า "นามที่แสดงความเป็นผู้กระทำ" นามชนิดนี้มีรูปมาจากกริยาหรือนามโดยการเติมปัจจัย (suffix) er, or, ent, ant, ist และ ician ที่ท้ายกริยาหรือนามตัวนั้น แล้วกริยาหรือนามที่ถูกปัจจัยเหล่านี้เติมก็จะกลายเป็น Agent Noun คือนามที่แสดงความเป็นผู้กระทำแล้วนำมาใช้เช่นนามทั่วๆ ไป ได้แก่
    Verb เดิม
    คำแปล
    เติมปัจจัยแล้ว
    คำแปล
    act
    กระทำ
    actor
    ผู้กระทำ (แสดง)
    sail
    แล่นเรือ
    sailor
    กลาสีเรือ
    serve
    รับใช้
    servant
    คนใช้
    study
    ศึกษา, เรียน
    student
    นักเรียน
    attend
    ตั้งใจ
    attendant
    ผู้ติดตาม
    piano
    เครื่องเล่นเปียโน
    pianist
    นักเปียโน
    preside
    เป็นประธาน
    president
    ประธาน
    music
    ดนตรี
    musician
    นักดนตรี
    history
    ประวัติศาสตร์
    historian
    นักประวัติศาสตร์
    visit
    เยื่ยม
    visitor
    ผู้มาเยื่ยม